หนาวนี้ใครไปไหนเราไม่รู้ แต่ม่อนนี้เราจอง “ม่อนจอง”

มีหลายคนเลือกที่จะออกเดินทาง เพื่อตามหาบางอย่างมาเติมเต็มความว่างเปล่าของชีวิต  บางคนตามหาความสุขเพื่อมาเติมสิ่งที่ขาด  บางคนตามหาเรื่องใหม่ๆเพื่อมาทดแทนเรื่องเก่าๆ  แต่ละคนก็ต่างกันออกไป
เราสละชีวิตเดิมๆทิ้งไปเพื่อให้สิ่งใหม่ๆได้ถูกสร้างขึ้นมา และเมื่อมันได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว ความเป็นตัวเราแบบเดิมๆ ก็จะค่อยๆหายไปอย่างน้อยที่สุด ก็ในช่วงเวลาที่เราเดินทาง…

“สอบเสดแล้วโว้ย” สำหรับใครหลายคนที่ยังจำความรู้สึกนี้ได้ มันไม่ต่างกับการได้เกิดใหม่อีกครั้ง มันคือช่วงของการกอบโกยทั้งเวลาและความสุขที่เคยเสียไปกลับคืนมา แต่จะกอบโกยความสุขด้วยวิธีไหนหรือเอาเวลาไปลงทุนกับอะไรแต่ละคนก็ต่างกันไป แต่สำหรับผมการลงทุนเดียวที่ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดทุนขาดทุนก็คือการไปเที่ยวนี่แหละ
•    จุดหมายของเราในครั้งนี้คือ ดอยม่อนจองตั้งอยู่ที่ตำบลอมก๋อย อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ดอยม่อนจองเที่ยวได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ไปจนถึง 15 กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะปิดไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นแล้ว(ก่อนไปต้องโทรไปจองก่อนนะ) ค่าใช้จ่ายคร่าวๆก็ประมาน 3000 กว่าบาท สำหรับใครที่สนใจ ผมแนะนำให้หารถที่ไปถึง เชียงใหม่ ก่อน 6 โมง เพราะจะมีรถตู้ให้บริการไปส่งที่ อ.อมก๋อย แค่ถึง6โมง ผมแนะนำลุงรถตู้คนนึง  (0895596486)แกทำอยู่ตรงนี้มานานแล้วถามแกได้ทุกเรื่องเลย ตั้งแต่จุดซื้อเสบียง หารถโฟร์วิล หาลูกหาบ แกจัดการให้ครบเลย

Day one.
นั่งมาทั้งคืนโคตรเมื่อยเลย ในที่สุดก็ถึง อาเขต จังหวัดเชียงใหม่  จุด สตาร์ทแรกของวันนี้ หลังจากเดินยืดเส้นกันได้ไม่นาน ก็ถึงเวลาไปต่อ เราเหมารถแดง คนละ40บาท เพื่อไปขึ้นรถตู้ไป อมก๋อย ตรงหน้าศูนย์วัฒนธรรม

หน้าตารถตู้ก็ประมาณนี้ ลุงแกใช้เวลาเดินทางจากตรงนี้ไปอมก๋อย ก็ประมาน3 ชม ครับ แกใจดีครับ คุยเก่งแทบไม่ได้นอนเลย รถตู้ลุงแก ไปกลับจะอยู่ไม่เกิน 500 บาท

นั่งมาพักใหญ่ๆพระอาทิตก็เริ่มขึ้นแล้ว ระหว่างทางใครอยากแวะตรงไหนก็บอกแกได้ตลอด ไม่นานก็ถึงแล้วจุดพักสุดท้ายครับ ตรงนี้จะมีของขายเยอะมาก ใครขาดอะไรก็ซื้อกันได้ตรงนี้เลย แต่ของสำคัญที่ต้องซื้อแน่ๆจากตรงนี้ก็คือเสบียง กับน้ำ เราซื้อไก่ย่างขึ้นไปสองตัว ที่เหลือก็จะเป็นพวกมาม่าขนมปังแนะนำว่าเผื่อลูกหาบด้วยก็ดีครับ เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆ อยากกินอะไรก็ตามอัธยาศัยเลยครับตามกำลังการแบก

หลังจากเตรียมของกินข้าวกันเสร็จแล้วก็นั่งรถไปอีกประมาน20นาทีก็ถึงจุดเปลี่ยนรถ

ต่อจากตรงนี้ไปรถตู้จะไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนเป็นรถโฟร์วิล  ถ้าจำไม่ผิดไปกลับต่อคันจะอยู่ที่ 2500 บาท นั่งได้ประมาน 5 คนบวกๆ ถ้าคนเราน้อยลุงรถตู้แกก็จะพยามรวมกรุ๊ปให้ ต้องลองคุยกับแกดู ตรงนี้มีห้องน้ำอยู่ด้านหลัง แต่ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่

หลังจากเปลี่ยนรถแล้วก็แวะลงชื่อตรงอุทยานแล้วรับลูกหาบ ขึ้นลงประมาน 600 บาท พอขึ้นไปข้างบนเค้าจะก่อไฟต้มน้ำให้เรียบร้อย มีอะไรก็คุยกับพี่แกได้เลย

ตอนแรกก็แอบไม่เข้าใจ ว่าทำไมห้ามเอารถขึ้นมากันเอง พอได้มาเจอทางเท่านั้นแหละรู้เรื่องเลย ทางยาวประมาน16 กิโลเมตร ทางแคบแล้วก็ชันกำลังได้ที่เลย พอได้ลุ้นได้เสียว พลาดนิดเดียวนน่าจะไปสุดขอบเขาเลยครับ นั่งเด้งกันไป ประมาน 30 นาที ก็ถึงจุดที่เหนื่อยที่สุดแล้ว
จุดเดินเท้า!

จากตรงนี้เดินกันไปประมาน 4 โล เค้าบอกเดินประมาน3-4 ช.ม

คิดในใจ คนแก่ป่าว สองชั่วโมงไม่น่าจะเกิน  ที่ฟังมาก็ไม่มีอะไรมาก

กว่าจะรู้ตัวขาก็แข็งไปครึ่งข้างแล้ว พึ่งรู้ว่าสี่โลมันไม่ใช่สี่โลธรรมดา มันเป็น4โลเขา!
เดี๋ยวชันเดี๋ยวลาดปรับเกียขากันแทบไม่ทัน  แต่ก็ยังดีคนที่เดินสวนกันลงมาก็ส่งกำลังใจมาให้เรื่อยๆไม่มีขาด ข้างหน้ามีช้างบ้าง มีเสือบ้าง  ยังไม่ถึงครึ่งเลยน้อง อีกไกลน้อง  มีกำลังใจเดินสุดๆ


สภาพการตอนนี้ก็ กำลังไม่ดีเท่าไหร่ เหนื่อยมาก แดดแรงมาก  ใครบอกว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ไม่จริงเลย  พิสูจน์มากับตัว ยิ่งสูงนี่ยิ่งเหนื่อย

หลังจากเดินมาประมาน 3 ชั่วโมง ในที่สุดก็เจอแล้วครับ ทุ่งหญ้าแห้งสีทองที่ตามหา หลังจากเดินมึนอยู่ในป่ามานาน ความเหนื่อยตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยถ้านับเต็มมสิบนี่ ผมให้สิบเอ็ดจุดห้าเลย

ก่อนหน้านี้ว่าเหนื่อยแล้ว เจอดอกนี้ไปแทบเดินไม่เป็น ใช้ทั้งมือทั้งเท้ามีอะไรนี่ใช้หมด ถึงจุดนี้ไม่มีอีกแล้ว คำว่ากลัวเลอะ  กับดินกับฝุ่นนี่สนิดเลยครับ ซี้ปึ้ก  มีมันแทบจะทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่รูจมูกลงมาที่ปากลามไปถึงง่ามก้น…

อยู่ตรงทางชันมานาน คิดถึงทางราบสุดๆ

พักหน่อยเถอะ ทุกคพูดเป็นเสียงเดียวกัน หลังจากผ่านเนินเมื่อกี้มาได้ หลังจากตรงนี้ก็ไม่มีอะไรยากแล้วชันบ้างลาดบ้างนิดหน่อยสลับกันไป

บางครั้งท้องฟ้ามันก็ไม่อยู่ไกลจากเราขนาดนั้น หลายคนแค่ไม่กล้าเดินขึ้นไปหามัน.

เพื่อนใหม่

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางไกล
อาจจะไม่ใช่แค่ร่างกายที่แข็งแรง
แต่รวมไปถึงจิตใจที่แข็งแรง.

ลยตรงนี้ไปก็จะเป็นจุดพักที่จะนอนในคืนนี้ของเราแล้ว  แต่ว่าแค่จุดพักนะ ไม่ใช่จุดหมาย
ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปไว้เท่าไหร่ หลังจากกางเต้นเตรียมของเสร็จแล้ว ก็ไปกันต่อยังจุดหมายของเรา
หัวสิงค์!


เดินแบบไม่มีเป้มันมีความสุขแบบนี้นี่เอง


ยิ้ม! สำหรับข้าวเย็นเราซื้อไก่กับข้าวเหนียวขึ้นมา กะว่าจะไปกินตอนดูพระอาทิตย์ตก โรแมนติกสุดๆ


ไปคนเดียวอาจจะไปได้เร็ว แต่ถ้าอยากไปให้ไกลอะ มันต้องไปด้วยกัน.

เดินจากจุดพักไปหัวสิงค์ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ทางไม่ค่อยชันเท่าไหร่แต่บอกเลยว่าเสียวมาก กว่าจะเข้าใจคำว่าทุกก้าวมีความหมายก็วันนี้


ยินดีที่ได้รู้จัก


มวยจีนก็มา



สบายใจ อยู่ตรงไหนก็สบาย



สุดทางหัวสิงค์

ถ่ายรูปกันอยู่ซักพักก็ถึงเวลากลับจุดพักแล้ว  เราวางแผนว่าจะออกมาถ่ายดาวกันอีกทีตอนตีสาม ระหว่างทางแสงอาทิตย์ค่อยๆหายไปความเหงาก็ค่อยๆ ยิ้ม ก็แย่ละ มีแต่ความหนาวกับลมแล้วก็แสงไฟฉาย..

กลับมาถึงจุดพักแล้ว ตอนนี้ก็ประมานทุ่มกว่าๆ หนาวกำลังได้ที่เลย นั่งคุยกันอยู่ซักพัก ก่อนที่ความหนาวจะไล่เราไปนอน…

แก้ไขข้อความเมื่อ 02 พฤษภาคม 2559 เวลา 22:42:46 น.

สมาชิกหมายเลข 2410603

3 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
ใช้กล้องอะไรถ่ายครับสวยมาก ติดตามอยู่นะครับ


milde

ความคิดเห็นที่ 2

Day two.
กว่าจะนอนหลับก็เกือบจะตีสองแล้ว ทั้งหนาวทั้งแคบแต่ปัจจัยหลักนี่เสียง กรนของเพื่อนเลย ลั่นเขามาก หลังจากทำใจกับความหนาวอยู่ซักพัก ก็ตัดสินใจเดินออกมา ความรู้สึกแรกที่ออกมาจากใจ หนาวเป็น ยิ้ม! หายใจเข้าทีปอดแทบแข็ง แต่มาถึงตรงนี้แล้วจะถอยก็ไม่ได้ ถึงปอดจะแข็งก็ไม่เป็นไร ใจแข็งกว่า…

เราเดินตามทางมาเรื่อยๆ คืนนี้เป็นการถ่ายดาวครั้งแรก หลังจากลองถ่ายมาเป็นสิบๆๆภาพได้ภาพโอเคสุดก็ภาพนี้แหละ  ครั้งนี้เราไม่ได้เดินไปต่อจนสุด แต่หยุดอยู่แค่ประมานครึ่งทาง เพื่อนที่จะได้เห็นหัวสิงค์

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แสงอาทิตย์เริ่มกลับมาอีกครั้ง บางครั้งจุดที่สวยที่สุดไม่จำเป็นต้องเป็นจุดที่สูง หรือไกลที่สุด แต่เป็นจุดที่พอดี…

เราอยู่ลั่นชัตเตอร์กันจนสว่าง แล้วเดินกลับมาเก็บของที่จุดพัก  กินข้าวเช้าที่เตรียมมา


มาถึงภาพนี้แล้วก็คงเป็นจุดสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ ถึงเวลาที่เราจะต้องกลับไปหาความจริงที่เราได้จากมา คนเราทุกคนต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเราไม่สามารถกำหนดมันได้ แต่สิ่งที่เราสามารถกำหนดมันได้คือปัจจุบัน สำหรับผมชีวิตคนเราก็เหมือนการต่อภาพจิ๊กซอของความทรงจำ วันนี้เราทำอะไรไป พรุ่งนี้เราเจออะไรมา ทุกๆอย่างล้วนเป็นจิ๊กซอชิ้นสำคัญ ในภาพของตัวเอง ตอนแรกภาพมันอาจจะยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ถึงวันนึงที่คุณสะสมมันได้มากพอ ภาพมันก็จะออกมาชัดเจนมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วต่างคนก็ต่างมีภาพเป็นของตัวเอง วิธีตามหาจิ๊กซอก็ต่างกันออกไปตามสิ่งที่ชอบบ้างสิ่งที่ฝันบ้าง แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับผมวิธีตามหาจิ๊กซอที่ดีที่สุดคงจะเป็น “การเดินทาง”

ขอขอบคุณแหล่งที่มา  www.pantip.com