[Review] Slow Life ณ บางสะพาน บ้านกรูด และ The Theatre Villa

พักผ่อนในบรรยากาศแบบที่พักติดทะเล เงียบสงบ เป็นส่วนตัว พร้อมไปไหว้พระขอพร ใครชอบทริปที่สุขกายสบายใจขอเชิญทางนี้เลยค่ะ เก็บกระเป๋าแล้วตามคุณ วอริเออร์ ไปกันค่ะ

เพราะเหตุว่าคุณนายที่บ้านทำงานต่อเนื่อง เสาร์-อาทิตย์แทบไม่ได้หยุด นางจึงอยากพักผ่อนชาร์จแบ็ตให้ตัวเองบ้าง โดยมีเงื่อนไขคือ ที่พักติดชายหาด ค่อนข้างสงบไม่พลุกพล่าน ราคาเป็นมิตร และต้องไม่ไกลจากบ้าน(หายากเนอะ) ซึ่งหลังจากช่วยกันหาข้อมูลอยู่นาน ก็ได้ข้อสรุปคือ The Theatre Villa บางสะพาน สนนราคาคืนละ 1,600 บาท โทรฯ จองกับรีสอร์ทโดยตรง ถูกกว่าจองผ่านเว็บนะเออ แถมได้เบอร์ที่ติดต่อได้แน่นอนจะได้อุ่นใจ เพราะรีวิวใน Pantip ก่อนหน้านี้บอกไว้ว่าทางเข้าหายาก แต่… เอาเข้าจริง Google Map นำทางได้แบบไม่หลงเลยซักนิด^^

วันแรกเราเดินทางกันสายๆ แวะทานก๋วยเตี๋ยว ขับรถเรื่อยๆ ถึงที่พักราวบ่ายสาม โดยจองห้องพักหน้าหาด 1 คืน สรุปว่าไม่ค่อยเอ็นจอยนัก เพราะมีฝรั่ง(เศส) 2 หน่อ นั่งเมาท์กันหน้าห้องเกือบตลอดเว ที่ลำบากคือ ทางขึ้น-ลง มันมีทางเดียว และต้องผ่านหน้าห้องเค้า ทีนี้ จะไปไหน ทำอะไรมันอึดอัดไม่เป็นส่วนตัว คืนนั้นก็ตกลงกัน(หลังจากคุณนายติดใจอยากพักต่อ) ว่าเปลี่ยนไปนอนเรือนไม้ เพราะสงบ เป็นส่วนตัวมากกว่า

ช่วงเย็นขับรถไปหาซื้อของใช้ ของกินที่ตลาดบางสะพาน โชคเป็นของเราตลาดนัดเปิดพอดี สบายตัวกันไป

หลังจากนอนกันเต็มอิ่ม เราตื่นตั้งแต่เช้ามืด ตั้งใจจะถ่ายแสงเช้า ถึงหน้าหาดปุ๊บ ฟ้าระเบิดปั๊บ แทบกางขาตั้งกล้องไม่ทัน สุดท้ายก็ได้ภาพนี้มา

พี่คนนี้พาหมาเดินเล่น หมารีสอร์ทซึ่งอัธยาศัยดีมากกก(คงซึงซับมาจากเจ้าของ)วิ่งไปแจมกับเค้าก่อนจะกลับมาเล่นกันต่อ เป็นแบบนี้ทั้งเช้า-เย็น

คุณนายนอนชิลอ่านหนังสือเล่มโปรด ระหว่างรอมื้อเช้า

ภาพกว้างๆของครัว+ร้านอาหารของรีสอร์ท

ใกล้ๆ

หลังจากง่วนอยู่พักนึง พี่เจ็งเจ้าของรีสอร์ทที่อัธยาศัยดีมากกกก ก็เสิร์ฟน้ำส้ม+ขนมปังให้เราเป็นอย่างแรก

ตามด้วยโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ท็อปปิ้งด้วยแก้วมังกร & กล้วย

เมนคอร์สเป็น American Breakfast

ต่อด้วยผลไม้ อย่างแรกคือ แก้วมังกร (ที่เห็นหายไป 2 ชิ้น คือลืมตัวกินเข้าไปแล้วถึงนึกได้ว่ายังไม่ได้ถ่ายภาพ ^^)

มะละกอ

ปิดท้ายด้วยสับปะรด… เห็นวิธีการปอกผลไม้+จัดจาน ก็มโนไปว่าพี่เจงต้องทำงานโรงแรมเกี่ยวกับครัวมาก่อนแหงม มารู้ทีหลังว่าเค้าจบบัญชี ความรู้พวกนี้เค้ามาเรียนรู้พร้อมๆกับการเปิดรีสอร์ทนี่เอง เก่งเนอะ

อิ่มท้อง ก็กลับมาอาบน้ำเตรียมตัวไปเที่ยววัดทางสาย ระหว่างรอชมรูปวัด ชมรูปห้องกันไปพลางๆก่อนนะ^^ บ้านไม้ของรีสอร์ทมี 2 หลัง เราเลือกหลังที่ 2 เพราะเป็นเตียงเดียว

โซฟาสีเข้มอยู่ด้านหน้าใช้ได้ทั้งนั่งเล่น และนอนเล่น อ่านหนังสือ ดูทีวี อ้อ! ตู้เย็น และไวไฟ(ฟรี)พร้อม สมัยนี้ไม่มีนี่เหมือนขาดอะไรไป ความแรงสัญญาณใช้ได้เลยกลางคืนดูเป็นต่อจาก You Tube ไม่สะดุด

วัดทางสาย อยู่แถวๆหาดบ้านกรูด ห่างจากรีสอร์ทราว 25 กิโล ขับรถเรื่อยๆ(ปกติขับรถช้ามากราวๆ 70-80 km/h คุณนายบ่นอยู่บ่อยๆ^^) ประมาณ 40 นาทีก็ถึง จุดแรกหลังจากจอดรถ ก็ต้องมาไหว้ “พระพุทธกิตติศิริชัย” ขอพรกันตามธรรมเนียม

เดินขึ้นไปอีกนิดผ่านยักษ์ทวารบาร จะถึงทางขึ้น “พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ” ช่วงนี้ดอกลีลาวดีกำลังออกดอกสะพรั่ง หอม…เย็น…ไปทั้งบริเวณ (แต่อากาศน่ะร้อนนะ)

พระมหาธาตุฯ ตั้งอยู่บนจุดสูงสุด สวย และสง่างามจากแรงศรัทธาบริจาคของพุทธศาสนิกชนกว่า 200 ล้านบาท ชั้นแรกประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ฝาผนังเขียนเรื่องราวพุทธประวัติ-พุทธชาดกด้วยศิลปะไทย ชั้นที่สองคล้ายๆกัน แต่จะเพิ่มศิลปะกระจกสี แสดงเรื่องราวของ “พระมหาชนก” อธิบายยาวนิดนึง เพราะเค้าห้ามถ่ายรูปภายใน ของจริงจะสวยงามแค่ไหนคงต้องไปชมกันเอง บอกได้แค่ว่า “สวยมากกกกก”

อิ่มบุญกันแล้ว ขากลับเราแวะทานข้าวเที่ยงกันที่ร้าน “ชะเอม” แถวหาดบ้านกรูด คือ คุณนาย Need ข้าวผัดปู(เนื้อเยอะๆ)มานานมาก พี่เจ็งเลยแนะนำร้านนี้ แกบอกว่าเค้ามีเรือเอง มีปูแน่นอน ไม่มีภาพประกอบเพราะขับรถหาร้านอยู่นานกว่าจะได้กิน ชั่วโมงนั้นปาก-และท้องต้องมาก่อน ถ่ายภาพไว้ทีหลัง^^

ขากลับแวะซื้อทุเรียนขนาดกลางๆมา 1 ลูก ปอกเรียบร้อย กลับถึงที่พักแป๊บเดียวเท่านั้น เรียบ! มื้อเย็นเราฝากท้องกับรีสอร์ท พี่เจ็งบอก เอ่อ… นึกว่าจะไม่ทานมื้อเย็นกันซะอีก แหม! แค่ Appetizer 555

ที่พักของเราคืนนี้

ทางเดินหน้าบ้านไม้ เดินไปอีกนิดจะเป็นห้องพักหน้าหาด(2 ห้องติดกัน) และอีกนิดเป็นครัว และห้องอาหารริมหาด

เช้าวันที่สาม เมฆครึ้ม บรรยากาศอึมครึมเหมือนฝนจะตก(แต่ไม่ตก) ปราศจากแสงสีสวยๆ เลยไม่มีแรงจะแบกกล้อง+ขาตั้ง(เอาจริงๆคือขี้เกียจ^^) วันนี้เลยเก็บภาพกันแบบง่ายๆกับกล้องมือถือ

คุณนายรับไอทะเลก่อนกลับบ้าน ถ้าเป็นไปได้นางคงอยากอยู่ต่อซักอาทิตย์

ฝาหอยกับรอยทราย มโนเอาว่าช่างเหมือนดาวตก(เสียนี่กระไร)

ฝาหอยกับรูปู ที่นี่ปูตัวเล็กๆเยอะมาก เปลือกหอยของปูเสฉวนก็เยอะ แต่ไม่เจอซักตัว เสียดายๆ

หินบ้านหอย ฝาหอยบ้านปู อิงแอบอาศัยกันและกัน

ฝาหอย บ้านน้อยๆของปูเสฉวน นี่แหละเค้าถึงบอกให้เก็บไว้เพียงแค่ภาพถ่าย เหลือไว้เพียงความทรงจำ เพราะถ้าเราเก็บฝาหอยกันไปมากๆ ปูจะไม่มีบ้านอยู่นะจ๊ะ

ผักบุ้งทะเล เค้าว่าแก้พิษแมงกะพรุนได้ จริงเปล่าไม่รู้? แต่ไม่อยากลอง^^

ลากันไปด้วยภาพเรือประมงน้ำตื้น(ตื้นจริงๆเพราะห่างฝั่งออกไปไม่ถึง 20 เมตร) กำลังสาละวนกับการลากแหจับปลา สังเกตุดู เค้าทำงานกัน 3 คน ทีมเวิร์คดีมากๆ คนแรกขับเรือคัดท้ายวนเป็นรูปก้นหอยจากกว้างมาแคบ คนที่สองคลี่และโปรยแห คนที่สามคอยกระทุ้งน้ำให้ปลาตกใจ(อันนี้คิดเอาเอง^^) สุดท้ายทุกคนก็ได้ปลาสมใจ สามัคคีคือพลังจริงๆ แต่จะทำได้ทุกคนต้องได้ผลประโยชน์เสมอกัน ยาวไปๆ

หลังจากได้พักผ่อนชาร์จแบ็ตกันเต็มที่ เราก็ไม่อยากกลับบ้านไปทำงาน เอ้ย! เราก็พร้อมกลับไปทำงาน สายๆ ร่ำลาพี่เจ็งเจ้าของรีสอร์ทอัธยาศัยดี๊ดี พร้อมกับความตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสเหมาะๆจะแวะไปกินลม ชมวิว ใช้ชีวิตแบบ Slow Life กันอีกแน่นอน

เป็นยังไงกันบ้างคะ น่าไปพักผ่อนกันไหมหละทุกคน ถ้ายังไงก็ลองหาวันว่างแล้วไปกันดูนะ

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก: sanook.com , คุณวอริเออร์